?? เยือนดินแดนมหัศจรรย์แห่งขั้วโลกเหนือ ??
การท่องเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์ จะเป็นการเที่ยวธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ โดยในแต่ละฤดู ไอซ์แลนด์จะมีความแตกต่างกัน โดยช่วงฤดูหนาวทั้งเกาะจะขาวโพลนไปด้วยหิมะ ทั้งถนนหนทาง และภูเขาหุบเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ น้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนตลอดเวลา
ขณะที่การขับรถท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ตลอดเวลา เพราะบางทีถนนลื่น ฝนตกหนัก หรือหิมะตกหนัก ทำให้เราต้องหยุดพักกันเป็นระยะ เพื่อเช็คเส้นทางกันตลอดเวลา
**สำหรับการดูแสงเหนือ ในเดือน ต.ค. ถึง เม.ย. เราสามารถเห็นได้ค่ะ ถ้าสภาพอากาศดี และ ท้องฟ้าเปิด เราพาทุกท่านออกไปตามล่าแสงเหนือกันแน่นอน**
ไอซ์แลนด์ (Iceland)เป็นประเทศหนึ่งในกลุ่มนอร์ดิกตั้งอยู่ทางยุโรปเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร มีเมืองหลวงคือเรคยาวิก ไอซ์แลนด์มีประชากรประมาณสามแสนห้าหมื่นกว่าคน มีพื้นที่ประเทศรวม 102,775 ตารางกิโลเมตร มีประชากรเพียง 330,000 คน โดยชื่อของประเทศไอซ์แลนด์ในปัจจุบันมีตำนานกล่าวว่าในสมัยที่ชาวนอร์ดิกล่าอาณานิคมอยู่นั้นได้พบเข้ากับเกาะแห่งหนึ่งที่เป็นที่อาศัยของชาวไวกิ้งจึงอยากเข้ามาเพื่อยึดครองแต่ชาวไวกิ้งเองได้วางกลอุบายว่าบนเกาะไอซ์แลนด์แห่งนี้มีเพียงน้ำแข็งปกคลุมประดุจดังดินแดนน้ำแข็ง (Iceland) ที่อากาศหนาวเย็นมาก และไม่สามารถอยู่อาศัยได้แต่แท้จริงแล้วไอซ์แลนด์เป็นแผ่นดินที่มีพลังงานใต้พิภพอย่างภูเขาไฟอยู่ทั่วทั้งเกาะทั้งยังสามารถอาศัยอยู่ได้ แต่กลับยื่นข้อเสนอให้ชาวนอร์ดิกเข้าไปยึดดินแดนทางตอนเหนือที่อ้างว่าเป็นดินแดนเขียวขจีอุดมสมบรูณ์สามารถเพาะปลูกได้ คือ (Greenland) ในปัจจุบันแต่ในความเป็นจริงแล้ว กรีนแลนด์ต่างหากที่เป็นดินแดนที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดทั้งปี
นัดพบเจ้าหน้าที่ของบริษัทรักเดินทาง ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิก่อนเวลาทำการบิน 2.30 ชั่วโมง
Reykjavík (เมือง เรคยาวิก) : ซึ่งได้รับสมญานามว่า“อ่าวแห่งควัน” เนื่องจากมีควันไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนตลอดเวลา อันเป็นผลมาจากความร้อนของภูเขาไฟใต้ท้องทะเล นอกจากนี้ เมืองเรคยาวิก ยังมีตำนานไวกิ้งโบราณ ซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าได้เข้ามาปกครองดินแดนแถบนี้มาก่อน กรุงเรคยาวิกเป็นเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล
Hallgrímskirkja (โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา) : โบสถ์ทางศาสนาคริสต์ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ เป็นจุดที่สูงอีกจุดหนึ่งของเมือง โบสถ์นี้มีความสำคัญในฐานะเป็นศาสนสถานและเป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ของสถาปนิกกุดโยน(GuðjónSamúelsson)ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมแนวอิมพราสชั่นนิสท์ เริ่มสร้างในปี ค.ศ.1945 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1986 รวมเวลาก่อสร้างกว่า 38 ปี
Harpa Reykjavík (โรงละคร) : อาคารสมัยใหม่สร้างด้วยกระจก ออกแบบตามรูปทรงของหินบะซอลต์ เป็นศูนย์แสดงดนตรีและศูนย์การประชุม เพิ่งเปิดเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมาบริเวณด้านหน้าติดกับท่าเรือและแลนมาร์กของเมืองนี้อย่าง Solfar (Sun Voyager) Sculpture ที่ตั้งอยู่ริมอ่าวเรคยาวิกรูปทรงโครงเรือไวกิ้งหรือบางคนก็ว่าเหมือนโครงกระดูกของวาฬ
พักที่เมือง Reykjavík ที่พักระดับ 3 – 4 ดาวหรือเทียบเท่า
Thingvellir National Park (อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์) : ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ระหว่างรอยแยกของหุบเขากับทะเลสาบซิงเควลลิร์ (Þingvallavatn) ซึ่งเป็นทะเลสาบตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ใกล้กับคาบสมุทรเรกยาเนส (Reykjanes) และภูเขาไฟเฮนกิลล์ (Hengill) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดทางประวัติศาสตร์และทางธรณีวิทยา เพราะเป็นจุดที่มีรอยเลื่อนของโลกเป็นระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร
Geysir (น้ำพุร้อนธรรมชาติ) : น้ำพุร้อนหรือเกย์ซีร์ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า กีเซอร์ ที่ใช้กันทั่วโลก น้ำพุร้อนที่นี่พวยพุ่งขึ้นสูงกว่า 180 ฟุต ทุกๆ 7 – 10 นาที พลังงานที่อยู่ใต้หินเปลือกโลก ขับเคลื่อนออกมาเป็นน้ำพุร้อนช่วยให้อากาศอบอุ่นเย็นสบายและรัฐบาลได้นำประโยชน์จากแหล่งความร้อนทางธรรมชาตินี้มาเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งใช้ทั่วประเทศ
Gullfoss (กูลฟอสส์) : น้ำตกกูลฟอสส์ หรือ ไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์ ถือเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศ และยังเป็น 1 ใน 3 สถานที่ในเส้นทาง“วงแหวนทองคำ” สถานที่ที่ผู้มาเยือนไอซ์แลนด์ไม่ควรพลาด เพราะ เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติระดับโลกที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งและลดระดับลงในโตรกเขาเบื้องล่างในระดับความสูงกว่า30 เมตร
พักที่เมือง Skoga ที่พักระดับ 3 – 4 ดาวหรือเทียบเท่า
Skogarfoss Waterfalls (น้ำตกสโกก้าฟอสส์) ที่มีความสูงถึง 62 เมตร ประทับใจกับความสวยงามของน้ำตกซึ่งแผ่กระจายมาจากหน้าผาสูง อีกทั้งแรงกระแทกของปลายสายน้ำทำให้เกิดเป็นละอองฟุ้งไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้หญ้าตระกูลมอสและเฟิร์นเติบโตปกคลุมหินที่เรียงรายริมลำธารเบื้องล่างอย่างสวยงาม บริเวณโดยรอบถูกโอบล้อมไปด้วยทุ่งลาวา โตรกผาและหุบเหว เป็นทัศนียภาพที่สวยงามและน่าประทับใจกับผู้ที่มาเยือนไอซ์แลนด์
Eyjajallajikull (ภูเขาไฟเอยาฟจาลลายุค) : ภูเขาไฟอันโด่งดังของไอซ์แลนด์ ภายหลังจากการปะทุในช่วงปีค.ศ.2010 ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาถ่ายรูปความสวยงามของภูเขาไฟแห่งนี้ โดยยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปีอีกด้วย
***หมายเหตุ:การขึ้นกระเช้าขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในวันนั้นๆ จำเป็นต้องเช็ควันต่อวันจ๊ะ***
Ortisei (ออร์ติเซ่) :เมืองแห่งศูนย์กลางของการ ท่องเที่ยวในแถบอุทยานโดโลไมท์ ที่อยู่ในหุบเขา มีเทือกเขาล้อมรอบสวยงามยิ่งนักอิสระให้ท่านพักผ่อนเพลิดเพลิน กับอากาศอันบริสุทธิ์ ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแปลกตาตลอดเส้นทาง
พักที่เมือง Ortisei ที่พักระดับ 3 – 4 ดาวหรือเทียบเท่า
Alpe Di Siusi (กระเช้าอัลเป ดิ ซีอูซี): หมู่บ้านในเทือกเขาโดโลไมท์ อิตาลีมีชื่อเสียงไม่เพียงเพราะมันมีทุ่งหญ้าอัลไพน์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่ยังรวมถึงพืชและสัตว์เป็นอีกจุดไฮไลท์นึงของทริปที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของเส้นทางสายโดไมท์เลยก็ว่าได้ ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ตั้งแต่ปี 2009
Val di Funes (วาล ดิ ฟูเน่) : มุมถ่ายรูปมหาชนที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งถ้าได้มาเยือนเส้นทางนี้โดยฉากหน้าเป็นดอกไม้,ทุ่งหญ้า,เมือง Santa Maddalena ผสานกับฉากหลังของเทือกเขาโดโลไมท์ที่ประดุจดังรูปวาดที่หน้าหลงใหล
พักที่เมือง Ortisei ที่พักระดับ 3 – 4 ดาวหรือเทียบเท่า
Braies Lake (ทะเลสาบเบรียส) :ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ FANES SENNES BRAIES เขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดใจกลางเทือกเขาโดโลไมท์ ชื่นชมความงดงามของทะเลสาบ ซึ่งว่ากันว่าที่นี่เป็นประตูสู่ดินแดนใต้พิภพ ตามตำนานทุกๆ ร้อยปีในคืนพระจันทร์เต็มดวงเจ้าหญิงในตำนานจะออกมาจากเนินเขา SASS DIA PORTA
Cortina D’Ampezzo (เมืองคอร์ติน่า ดอมปาสโซ่) : เมืองสกีรีสอร์ท ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติเทือกเขาโดโลไมท์ เป็น Best of The Alps เพียงแห่งเดียวของอิตาลีที่ได้รับการยกย่องให้เป็น 1ใน 10 สกีรีสอร์ทที่ดีที่สุดในโลก เคยใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 1956 และเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ 007 ตอน For Your Eye Only เมืองนี้อยู่สูงจากน้ำทะเล 1,219 เมตร ได้รับการขนานนามว่าเป็น ไข่มุกแห่งเทือกเขาโดโลไมท์ เป็นสถานที่ตากอากาศตลอดปีของชนชั้นสูง และบรรดาหนุ่มสาว ที่ไม่ได้มาเพียงเพื่อเล่นสกีเท่านั้น แต่ในหน้าร้อนมักนิยมท่องเที่ยวแบบ Hiking ปีนเขาชมทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
พักที่เมือง Cortina ที่พักระดับ 3 – 4 ดาวหรือเทียบเท่า
Passo Pordoi (เส้นทาง พอลดอย) : เป็นเส้นทางขับรัดเลาะเทือกเขาแอลป์ตั้งระหว่างกลุ่ม Sella ทางตอนเหนือ และ Marmolada ทางตอนใต้ ผ่านไปที่ระดับความสูง 2,239 เมตรโดยเป็นอีกหนึ่งในจุดเช็คอินที่ทุกคนที่มาเส้นทางนี้จะต้องแวะขึ้นไปชมวิวของเทือกเขาโดโลไมท์และถนนพับผ้าอันเลื่องชื่อ ทั้งยังเป็นเส้นทางสายหลักในการแข่งขันปันจักรยานระดับโลกหลายรายการรวมถึงรายการที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง tour de france มานับครั้งไม่ถ้วนอีกด้วย
Molveno (เมืองโมลเวโน) : เมืองพักตากอากาศอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขต Trentino ทางตอนเหนือของอิตาลีเป็นอีกเมืองยอดนิยมของชาวต่างชาติที่มักจะมาพักผ่อนและเล่นกิจกรรมต่างบริเวรทะเลสาบโมลเวโน ทั้งพายเรือ,ปีนเขา,เดินป่ารวมไปถึงกิจกรรมยอดฮิตอย่างกระโดดร่มจากหน้าผาสูง
พักที่เมือง Molveno ที่พักระดับ 3 – 4 ดาวหรือเทียบเท่า
Lake Garda (ทะเลสาบการ์ดา) : ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเวโรนา ทะเลสาบแห่งนี้เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง ชื่อของทะเลสาบ “Garda” นั้นได้รับการอ้างถึงในศตวรรษที่ 8 ว่ามาจากเมืองที่มีชื่อเดียวกันที่วิวัฒนาการมาจากคำว่า Germana Warda ที่หมายถึง สถานที่แห่งการสังเกตการณ์และยังจัดได้ว่าเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี
Sirmione (เมืองโบราณซิมัวเน่) : เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนปลายแหลม ที่เข้าถึงโดยมีถนนแคบๆ ที่เชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญด้วยตั้งอยู่บนทำเลที่งดงาม ตรอกซอยเล็กๆ แคบๆ วกวนน่าประทับใจ โดยจุดสนใจหลักของเมือง คือปราสาทเก่าแก่ของเมือง The Scallger of Sirmione ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1277
พักที่เมือง Sirmione ที่พักระดับ 3 – 4 ดาวหรือเทียบเท่า
Duomo di Milano (มหาวิหารดูโอโม่) : ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมิลาโน มหาวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1386 แต่มาแล้วเสร็จ 400 กว่าปีหลังจากนั้น ด้านนอกอาคารเป็นยอดแหลม 135 ยอด จึงมีชื่อเล่นว่า “ มหาวิหารเม่น ” ประดับด้วยรูปสลักหินอ่อนจากยุคต่าง ๆ กว่า 3,000 รูป ยอดที่สูงที่สุดประดับด้วยรูปสลักพระแม่มาเรียสูงกว่า 4 เมตร หุ้มด้วยทองคำ มีชื่อเรียกว่า “ มาดอนนิน่า (Madonnina) ” ทั้งยังได้ “ลีโอนาโด ดาวินซี” ช่วยในการออกแบบมหาวิหารแห่งนี้ภายในมหาวิหารดูเรียบง่าย แต่โอ่อ่ากว้างขวาง ตามแบบโกธิก อีกด้วย
Piazza del Doumo (ปิอาซซ่า เดล ดูโอโม) : ย่านช้อปปิ้งชื่อดังย่านหนึ่งระดับโลกไม่แพ้ กรุงปารีสฝรั่งเศส โดยย่านนี้ถูกแปลงสภาพจากตึกเก่าให้กลายเป็นร้านสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังมากมายที่ท่านจะจิตนาการออก อาธิ Hermès,Rolex,Patek Philippe,Omega,Chanel,Louis Vuitton,Dolce & Gabbana,Longchamp,Michael Kors,Christian Louboutin,Balenciaga และอีกมากมายกว่า 1,000 ร้านค้า
*** เดินทางกลับสู่ประเทศไทย หรือ พักที่เมือง Milano ที่พักระดับ 3 – 4 ดาวหรือเทียบเท่า***
เดินทางกลับถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิตามเวลาการบินโดยสวัสดิภาพ
Recent Comments